เว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเพื่อลูกน้อย แบบกระชับเน้นเนื้อไม่เน้นน้ำ เพื่อพ่อแม่ โดยพ่อแม่ที่ขี้เกียจอ่านเยอะ
เนื้อหานี้เหมาะสำหรับเด็กช่วงอายุ
ตั้งแต่
แรกเกิด
จนถึง
3-4 สัปดาห์

วิธีป้องกัน ภาวะตัวเหลือง ในทารกแรกเกิด

สรุปคำถามสำคัญ ให้ตรงนี้แล้ว!  ถ้ารีบอ่านแค่นี้ไปดูลูกต่อได้เลย!
สรุปคำถามสำคัญ ให้ตรงนี้แล้ว!  ถ้ารีบอ่านแค่นี้ไปดูลูกต่อได้เลย!
1.

ป้องกันลูกจาก ภาวะตัวเหลือง ต้องทำอย่างไร?

วิธีการป้องกัน ภาวะตัวเหลือง ที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดคือ การให้นมแม่กับทารกอย่างสม่ำเสมอ เพราะนมแม่มีสารที่จะช่วยกระตุ้นให้ทารกขับถ่ายอุจจาระ ซึ่งช่วยให้สามารถขับ "บิลิรูบิน" (สารที่ทำให้ตัวเหลือง) ออกจากร่างกายทารกได้

2.

หากแม่ไม่มีน้ำนมในช่วงแรกต้องทำอย่างไร?

นมแม่คือวิธีป้องกันที่ดีต่อเด็กมากที่สุด หากคุณแม่ยังมีน้ำนมน้อยในช่วงแรก ไม่ต้องกังวลไป เราแนะนำให้ปรึกษาโรงพยาบาลที่คุณทำคลอด เพื่อปรึกษาเรื่องน้ำนมและวิธีป้องกันอื่นๆ

3.

กินน้ำช่วยลดภาวะตัวเหลืองได้?

ไม่ได้! เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะน้ำไม่ช่วยขับสารสีเหลือง และอาจส่งผลเสียให้ทารก ทานนมได้น้อยลงอีกด้วย

4.

ภาวะตัวเหลือง ถ้าเกิดขึ้นแล้วรักษาได้มั้ย?

ในกรณีที่ทารกมีภาวะตัวเหลืองแบบปกติ จะมีค่าสารเหลืองที่ไม่สูงมาก เด็กสามารถจะสามารถขับสารสีเหลืองออกมาได้เองหากได้รับนมแม่อย่างสม่ำเสมอ แต่หากเป็นภาวะตัวเหลืองที่ผิดปกติ จะใช้การส่องไฟรักษา หากมีค่าสารเหลืองที่สูงกว่าปกติ อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการถ่ายเลือด

สาเหตุหลักของ ภาวะตัวเหลือง

ภาวะตัวเหลือง ในทารกแรกเกิดเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก ประมาณ 70% ของทารกแรกเกิด ซึ่งสาเหตุก็มาจากที่ทารกแรกเกิดมีเซลล์เม็ดเลือดแดงเยอะกว่าผู้ใหญ่และมีอายุสั้นกว่า พอเซลล์เม็ดเลือดแดงแตกตัว สารสีเหลืองที่เรียกว่า "บิลิรูบิน" ก็จะออกมาในเลือด ซึ่งทารกแรกเกิดมีตับที่ยังไม่สมบูรณ์ จึงไม่สามารถขับบิลิรูบินออกไปได้ทัน จึงทำให้ระดับบิลิรูบินในเลือดสูงขึ้น และเกิดภาวะตัวเหลืองขึ้น

ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิดส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและจะหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์ แต่ก็มีทารกบางรายที่มีอาการตัวเหลืองรุนแรงจนส่งผลเสียต่อสมองได้ ดังนั้นจึงควรเฝ้าระวังอาการของทารกอย่างใกล้ชิด

 



ป้องกันลูกจาก ภาวะตัวเหลือง ต้องทำอย่างไร

วิธีการป้องกัน ภาวะตัวเหลือง ที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดคือ การให้นมแม่กับทารกอย่างสม่ำเสมอ เพราะนมแม่มีสารที่จะช่วยกระตุ้นให้ทารกขับถ่ายอุจจาระ ซึ่งช่วยให้สามารถขับ "บิลิรูบิน" (สารที่ทำให้ตัวเหลือง) ออกจากร่างกายทารกได้ และควรสังเกตอาการของทารกอย่างใกล้ชิด มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที

คำถามที่พบบ่อย!! หากแม่ไม่มีน้ำนมในช่วงแรกต้องทำอย่างไร?

นมแม่คือวิธีป้องกันที่ดีต่อทารกมากที่สุด หากคุณแม่ยังมีน้ำนมน้อยในช่วงแรก ไม่ต้องกังวลไป เราแนะนำให้ปรึกษาโรงพยาบาลที่คุณทำคลอด เพื่อปรึกษาเรื่องการเร่งน้ำนมหลังคลอด หรือวิธีป้องกันอื่นๆ

 



ข้อห้ามเกี่ยวกับ ภาวะตัวเหลือง (แพทย์ไม่แนะนำ)

ถ้ามีคนมาบอกว่าให้ทำตามวิธีเหล่านี้แล้วหาย อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเป็นเพียงความเชื่อทำต่อๆกันมา ไม่มีการศึกษาทางด้านการแพทย์รองรับ

  1. ให้ดื่มน้ำมากๆ - ไม่ควรให้ทารกดื่มน้ำมากเกินไป เพราะนอกจากจะไม่ช่วยกำจัดสารสีเหลืองในทารกได้แล้ว ยังมีผลเสียตามมา เช่น ทารกจะดื่มนมได้น้อยลง ทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
  2. ตากแดดสิ - ไม่ควรพาทารกไปรับแสงแดดโดยตรง เพราะแสงแดดไม่สามารถกำจัดภาวะตัวเหลืองที่ผิดปกติได้ จำเป็นต้องรักษาที่โรงพยาบาลเท่านั้น

 



ภาวะตัวเหลือง ที่มีความรุนแรง (จำเป็นต้องพบแพทย์)

กรณีที่ทารกมีอาการตัวเหลืองผิดปกติ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยทั่วไปจะพบน้อย กว่า 1% ซึ่งก็คือ การมีระดับสารสีเหลืองสูงกว่าปกติ หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นลูกมีอาการ ดังต่อไปนี้ต้องระวัง

  • เหลืองเร็ว คือเหลืองให้เห็นภายในอายุ 1-2 วันแรก
  • เหลืองจัด เหลืองเข้ม ฝ่ามือฝ่าเท้าเหลืองชัดเจน
  • เหลืองนาน แม้อายุจะเกิน 7 วันแล้ว แต่ยังมีอาการเหลืองอยู่
  • อุจจาระมีสีซีด ปัสสาวะมีสีเข้มกว่าปกติ

หรือมีอาการตัวเหลืองร่วมกับอาการเจ็บป่วยอย่างอื่น เช่น มีใช้ ซึม อาเจียน ถ่ายเหลว หากพบว่าลูกมีอาการดังกล่าว ควรรีบพาลูกไปพบกุมารแพทย์ เพราะสารสีเหลือง ที่มีมากเกินไป อาจจะไปเกาะในเซลล์สมองทําให้เกิดความผิดปกติทางสมองและ อาจถึงขั้นปัญญาอ่อนได้ ถ้ารักษาไม่ทันเวลา

 

 

ภาวะตัวเหลือง รักษาอย่างไร?

ทารกที่มีอาการตัวเหลืองทุกราย จะต้องได้รับการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับของสารสีเหลืองเป็นระยะๆ

  • กรณีสารสีเหลืองไม่สูงมาก ทารกสามารถขับสารสีเหลืองออกมาได้เอง โดยไม่ต้องรักษา
  • การส่องไฟ โดยการใช้แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ (แสงนีออน) ที่มีความเข้มข้นสูง (ไม่ใช้แสงแดดส่อง) แสงไฟจะช่วยเปลี่ยนสภาพของสารสีเหลืองให้ขับออกทางอุจจาระ ปัสสาวะได้ง่ายขึ้น
  • ถ้าส่องไฟแล้วสารสีเหลืองยังไม่ลด กุมารแพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจว่า ควรใช้วิธีต่อไป คือการเปลี่ยนถ่ายเลือด เป็นการนําเอาเลือดที่มีสารเหลืองออกจากตัวทารก แล้วให้เลือดใหม่แทน ซึ่งวิธีนี้ใช้เมื่อมีสารสีเหลืองสูงถึงขั้นอาจเกิดอันตรายต่อทารก
เนื้อหาอื่นๆ ที่คุณน่าจะสนใจ
ทารกร้องไห้ นอนไม่หลับ
แม่เหนื่อยมากเมื่อ ทารกร้องไห้ ไม่ยอมนอนสักที แก้ยังไงดี
สรุปสาเหตุทารกร้องไห้ไม่ยอมนอน เพราะอะไร ส่งผลต่อพัฒนาการไหม และวิธีแก้ไข
อ่านต่อคลิก
ทารกท้องผูก แก้ปัญหาอย่างไรให้ลูกสบายท้อง
อาการของทารกท้องผูก ลักษณะเป็นยังไง อันตรายไหม และวิธีป้องกัน
อ่านต่อคลิก
อาการของเด็กทารกหายใจแรง ติดขัด หายใจไม่สะดวก
ทารกหายใจแรง เสียงดัง แบบนี้เป็นอันตรายไหม?
เข้าใจสาเหตุที่ทารกหายใจแรง สังเกตอาการอย่างไร อันตรายไหม ดูแลยังไง
อ่านต่อคลิก