เว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเพื่อลูกน้อย แบบกระชับเน้นเนื้อไม่เน้นน้ำ เพื่อพ่อแม่ โดยพ่อแม่ที่ขี้เกียจอ่านเยอะ
เนื้อหานี้เหมาะ
สำหรับเด็กช่วงอายุ
ตั้งแต่
แรกเกิด
จนถึง
3-4 สัปดาห์
เนื้อหานี้เหมาะสำหรับเด็กช่วงอายุ
ตั้งแต่
แรกเกิด
จนถึง
3-4 สัปดาห์

ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด รวมทุกเรื่องที่พ่อแม่ต้องรู้

สรุปคำถามสำคัญ ให้ตรงนี้แล้ว!  ถ้ารีบอ่านแค่นี้ไปดูลูกต่อได้เลย!
สรุปคำถามสำคัญ ให้ตรงนี้แล้ว!  ถ้ารีบอ่านแค่นี้ไปดูลูกต่อได้เลย!
1.

ภาวะตัวเหลืองในทารก เกิดขึ้นได้ยังไง?

ภาวะตัวเหลืองในทารก เกิดขึ้นจากระดับ บิลิรูบิน ในเลือดสูงเกินกว่าปกติ ซึ่งบิลิรูบินเป็นสารสีเหลืองที่เกิดจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงปริมาณมาก เกินกว่าที่ตับและไตของทารกแรกเกิดจะกำจัดได้ทัน

2.

มีวิธีเช็ค ภาวะตัวเหลืองในทารก แบบง่ายๆไหม?

มีค่ะ สามารถตรวจดูโดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้กดที่ผิวหนังพร้อมกับแยกออกจากกันเพื่อรีดเลือดออกจากหลอดเลือดฝอยบริเวณที่จะตรวจ เช่น หน้าผาก หน้าอก แขน และขา ควรตรวจในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ สังเกตสี ปกติจะเห็นเป็นสีขาว แต่ถ้าเห็นเป็นสีเหลือง โดยเฉพาะถ้าเหลืองถึงท้องควรรีบพบแพทย์

3.

ภาวะตัวเหลืองในทารก อันตรายไหม?

หากเป็นภาวะตัวเหลืองในทารกแบบปกติจะไม่อันตรายและหายเองได้ใน 2-3 วันค่ะ แต่หากเป็นภาวะตัวเหลืองแบบผิดปกติในระยะยาวจะส่งผลกระทบรุนแรงถึงการทำงานของสมองได้เลยค่ะ

4.

ทารกมีอาการตัวเหลืองแบบไหนควรไปหาหมอ?

เมื่อลูกเริ่มมีอาการตัวเหลืองควรติดต่อแพทย์เพื่อประเมิณอาการเบื้องต้น หากลูกมีอาการตัวเหลืองมาก อาการเพิ่มขึ้นเร็ว มีสีอุจจาระซีดลง หรือปัสสาวะสีเหลืองเข้มมากหรือเป็นสีน้ำปลา และมีไข้ ซึม ไม่ดูดนม ท้องอืด เกร็ง หรือชัก อย่างใดอย่างหนึ่งดังที่กล่าวมา ควรรีบพาไปพบแพทย์ในทันที

ภาวะตัวเหลืองในทารก คืออะไร

ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด (Newborn Jaundice) เกิดจากการที่ร่างกายมีสารสีเหลืองที่เรียกว่า บิลิรูบิน (Bilirubin) ในกระแสเลือดมากกว่าปกติ ซึ่งบิลิรูบินเกิดจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงผ่านกระบวนการที่ตับและขับออกจากร่างกายผ่านทางอุจจาระและปัสสาวะ ทั้งนี้ทารกแรกเกิดมีความเสี่ยงต่อภาวะตัวเหลืองมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากมีเม็ดเลือดแดงมากกว่าผู้ใหญ่ และเมื่อเม็ดเลือดแดงแตกสลาย บิลิรูบินที่เกิดจากการสลายตัวจึงมีปริมาณมากเกินกว่าที่ตับและไตของทารกแรกเกิดจะกำจัดได้ทันส่งผลให้เกิด ภาวะตัวเหลืองในทารก ได้

ภาวะตัวเหลืองในเด็กทารกแรกเกิด

สีผิวแสดงอาการภาวะตัวเหลืองในเด็ดทารกแรกเกิด

 



รู้จักประเภทของ ภาวะตัวเหลือง ในทารกแรกเกิด

ภาวะตัวเหลืองปกติ

พบได้บ่อยในทารกแรกเกิดถึง 70% มักเริ่มมีอาการตัวเหลืองในวันที่ 2-3 หลังคลอด และส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 3 สัปดาห์หลังคลอด

ภาวะตัวเหลืองผิดปกติ

พบได้น้อยกว่าภาวะตัวเหลืองปกติ สาเหตุหลักมาจากพยาธิสภาพ (Pathologic Jaundice) ทั้งนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีก เช่น

    • ภาวะหมู่เลือดแม่กับลูกไม่เข้ากัน (Rh incompatibility) พบในคู่ที่แม่มีเลือดกรุ๊ปโอกับลูกเลือดกรุ๊ปเอหรือบี และคู่ที่แม่มีเลือดกรุ๊ป Rh ลบ กับลูกกรุ๊ปเลือด Rh บวก เมื่อทารกได้รับเลือดของแม่เข้าไป ร่างกายของทารกจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเลือดของแม่ ภูมิคุ้มกันนี้จะไปทำลายเม็ดเลือดแดงของทารก ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก และเกิดบิลิรูบินเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิด ภาวะตัวเหลืองในทารก
    • ภาวะเม็ดเลือดแดงขาดเอ็มไซม์ G6PD (G6PD deficiency) ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายกว่าปกติ พบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง มักมีอาการตัวเหลืองตั้งแต่แรกเกิด หรืออาจมีอาการตัวเหลืองในช่วงหลังคลอด
    • ภาวะตัวเหลืองที่สัมพันธ์กับการกินนมแม่ (Breastfeeding jaundice) พบในทารกที่กินนมแม่เพียงอย่างเดียว มักเกิดจากทารกได้รับนมแม่ไม่เพียงพอ สาเหตุที่พบบ่อยคือ ท่าอุ้มให้ลูกดูดนมแม่ที่ไม่ถูกต้อง หรือเกิดจากปัจจัยอื่นๆของทารก เช่น คลอดก่อนกำหนด มีน้ำหนักแรกเกิดน้อย หรือมีภาวะลิ้นติดจึงดูดนมแม่ได้ไม่ดี
    • ทั้งนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นอีก เช่น
      • โรคท่อน้ำดีตีบ (Biliary atresia) ทำให้น้ำดีไม่สามารถไหลออกจากตับได้ ส่งผลให้บิลิรูบินสะสมในร่างกาย
      • การมีเลือดออกที่หนังศีรษะ (Cephalohematoma)
      • ภาวะพร่องไทรอยด์แต่กำเนิด (Congenital hypothyroidism)
      • การติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis)
      • ตับอักเสบ (Hepatitis)

หากทารกมีอาการตัวเหลืองผิดปกติ ควรรีบพาทารกไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม การรักษาภาวะตัวเหลืองผิดปกติขึ้นอยู่กับสาเหตุของภาวะตัวเหลือง

 



อันตรายจาก ภาวะตัวเหลืองในทารก

หากระดับบิลิรูนบินในเลือดสูงมาก จะผ่านเข้าไปจับกับเนื้อสมองด้านใน ทำให้ทารกมีอาการผิดปกติทางสมอง

  • ในระยะแรกทารถจะซึม ดูดนมน้อยลง ตัวอ่อนปวกเปียก หรือเกร็งหลังแอ่น ชัก และมีไข้ได้
  • ในระยะยาวทารกจะมีการเคลื่อนไหวผิดปกติของร่างกายและแขนขา มีความผิดปกติของการได้ยินและการเคลื่อนไหวของลูกตา ส่งผลให้พัฒนาการล่าช้ากว่าปกติ และอาจมีระดับสติปัญญาลดลงด้วย ซึ่งความผิดปกติทางสมองเหล่านี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

 



วิธีตรวจเชคอาการ ภาวะตัวเหลือง เบื้องต้น

คุณพ่อ คุณแม่มือใหม่ สามารถตรวจดูว่าลูกตัวเหลืองหรือไม่ได้ง่ายๆ เพียง ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้กดที่ผิวหนังพร้อมกับแยกออกจากกันเพื่อรีดเลือดออกจากหลอดเลือดฝอยบริเวณที่จะตรวจ เช่น หน้าผาก หน้าอก แขน และขา ควรตรวจในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ สังเกตสี ปกติจะเห็นเป็นสีขาว แต่ถ้าเห็นเป็นสีเหลือง โดยเฉพาะถ้าเหลืองถึงท้องควรรีบพบแพทย์

วิธีตรวจเชค ภาวะตัวเหลือง ในทารกแรกเกิด

แสดงวิธีการตรวจเชคภาวะตัวเหลืองในเด็กทารกแรกเกิด ด้วยการกดบริเวณหน้าผาก

หากพบว่าลูกมีอาการดังต่อไปนี้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

    • ลูกตัวเหลืองมากหรือเพิ่มขึ้นเร็ว (ถ้าไม่แน่ใจควรพาไปพบแพทย์ เพราะการตรวจดูตัวเหลือง ด้วยตาเปล่าอาจผิดพลาดได้)
    • สีอุจจาระซีดลง หรือปัสสาวะสีเหลืองเข้มมากหรือเป็นสีน้ำปลา
    • มีไข้ ซึม ไม่ดูดนม ท้องอืด เกร็ง หรือชัก

อย่างไรก็ตาม คุณพ่อ คุณแม่อาจไม่สามารถสรุปได้ว่าอาการตัวเหลืองที่เราตรวจพบนั้นมีอาการรุนแรงหรือไม่ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์โดยทันทีเมื่อมีการตรวจพบเจออาการค่ะ

 

 

การรักษาภาวะตัวเหลืองในเด็กทารก

เมื่อตรวจพบสาร บิลิรูบิน แล้วพบว่าค่าเกิน 10 แพทย์มักจะตัดสินใจให้ต้องทำการรักษาโดยใช้เครื่องมือแพทย์ โดยมีวิธีที่นิยม 2 วิธี แบ่งตามกรณี ดังนี้

1. รักษาด้วยวิธีการส่องไฟ (เมื่อตรวจพบค่าบิลิรูบินในช่วง 10-20)

ขั้นตอนการรักษา ภาวะตัวเหลือง ในทารกแรกเกิด

การรักษา ภาวะตัวเหลืองในทารก ด้วยวิธีการส่องไฟ

รักษาภาวะตัวเหลืองด้วยวิธีการส่องไฟ ด้วยหลอดไฟแสงสีฟ้าชนิดพิเศษ โดยขั้นตอนการรักษานั้นจะให้ทารกนอนในพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ ปิดตาทารกด้วยผ้า และถอดชุดของทารกออก การรักษาด้วยวิธีการส่องไฟนั้น มีผลข้างเคียงกับทารกเล็กน้อยคือ อาจจะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ เนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำไปจากขั้นตอนการส่องไฟ ส่งผลให้ทารกนั้นมีน้ำหนักตัวที่ลดลงได้

TIP! : หลังคลอดโรงพยาบาลจะมีการตรวจค่า บิลิรูบิน และมีการติดตามค่าเป็นระยะ ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก หากมีค่าอยู่ในช่วง 10 นิดๆไม่สูงนัก โรงพยาบาลมักจะแนะนำให้เข้าส่องไฟเพื่อความปลอดภัย พ่อแม่สามารถรอดูอาการเบื้องต้น และดูแลป้องกันภาวะตัวเหลืองก่อนได้ แต่หากมีอาการมากขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

2. รักษาด้วยวิธีการเปลี่ยนถ่ายเลือด (เมื่อตรวจพบค่าบิลิรูบินมากกว่า 20 ขึ้นไป)

เพื่อลดระดับของ บิลิรูบิน อย่างรวดเร็วป้องกันการส่งผลกระทบต่อสมอง จะทำการถ่ายเลือดของทารกที่มีค่า บิลิรูบิน สูงออกและเติมเลือดใหม่เข้าไปทดแทน

เนื้อหาอื่นๆ ที่คุณน่าจะสนใจ
ทารกร้องไห้ นอนไม่หลับ
แม่เหนื่อยมากเมื่อ ทารกร้องไห้ ไม่ยอมนอนสักที แก้ยังไงดี
สรุปสาเหตุทารกร้องไห้ไม่ยอมนอน เพราะอะไร ส่งผลต่อพัฒนาการไหม และวิธีแก้ไข
อ่านต่อคลิก
ทารกท้องผูก แก้ปัญหาอย่างไรให้ลูกสบายท้อง
อาการของทารกท้องผูก ลักษณะเป็นยังไง อันตรายไหม และวิธีป้องกัน
อ่านต่อคลิก
อาการของเด็กทารกหายใจแรง ติดขัด หายใจไม่สะดวก
ทารกหายใจแรง เสียงดัง แบบนี้เป็นอันตรายไหม?
เข้าใจสาเหตุที่ทารกหายใจแรง สังเกตอาการอย่างไร อันตรายไหม ดูแลยังไง
อ่านต่อคลิก